กลไกการออกฤทธิ์

กลไกการออกฤทธิ์ของยาวาร์ฟาริน(Warfarin)




วาร์ฟารินออกฤทธิ์โดยทำให้กลไกต้านการแข็งตัวของเลือดบกพร่อง ทำให้เลือดแข็งตัวช้ากว่าปกติโดยยับยั้งการสร้างปัจจัย (factor) II, VII, IX, X ซึ่งเป็นปัจจัยที่ใช้วิตามินเคเป็นตัวร่วมในการสร้าง โดยยับยั้งกระบวนการ cyclic interconversion ของวิตามินเค ทำให้เกิดการสังเคราะห์ vitamin Kdependentclotting factor ที่ไม่สมบูรณ์ (partiallycarboxylated) และยังส่งผลต่อโปรตีนซี (protein C)ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้ย่อยปัจจัย V, VIII และชะลอการสร้าง thrombin และมีผลต่อโปรตีนเอส (protein S)เนื่องจากระดับของโปรตีนเอสจะขึ้นกับการทำงานของวิตามินเคและเป็นปัจจัยร่วมกับโปรตีนซี ดังนั้น เมื่อระดับของโปรตีนเอสลดลง ระดับของโปรตีนซีก็จะลดลงด้วย ส่งผลให้การทำงานของปัจจัยการแข็งตัวของเลือดผิดปกติไป (พันธุ์เทพ อังชัยสุขศิริ และวิชัยอติชาตการ, 2548; Ansell et al., 2008) เภสัชพลศาสตร์ของยาวาร์ฟารินขึ้นอยู่กับปัจจัยการแข็งตัวของเลือดซึ่งแต่ละตัวมีค่าครึ่งชีวิตที่แตกต่างกัน โดยปัจจัย VIIมีค่าครึ่งชีวิตสั้นที่สุด คือ 5 ชั่วโมง ขณะที่ปัจจัย IIหรือโปรทรอมบินมีค่าครึ่งชีวิตยาวที่สุด คือ 60 ชั่วโมงดังแสดงระยะเวลาที่ยาวาร์ฟารินมีผลตามปัจจัยการแข็งตัวของเลือดชนิดต่าง ๆ ตามตารางที่ 1 (ศรีจันทร์ พรจิราศิลป์, 2546) ระดับของยาวาร์ฟารินในเลือดจะสูงสุดที่ 90 นาที หลังรับประทานยา ค่าครึ่งชีวิตโดยเฉลี่ยประมาณ 36–42 ชั่วโมง (Ansell et al., 2008) ผลทางเภสัชพลศาสตร์ขึ้นกับอัตราการยับยั้งปัจจัยการแข็งตัวของเลือด โดยเฉลี่ยแล้วผลต้านการแข็งตัวของเลือดของยาวาร์ฟารินจะใช้เวลาหลังจากบริหารยาไปแล้ว (duration effect) 2–5 วัน ค่า international  normalized ratio (INR) จะเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป 24–36 ชั่วโมง หลังจากได้รับยาครั้งแรก และให้ผลต้านการแข็งตัวของเลือดสูงสุด 72–96 ชั่วโมง(Horton & Bushwick, 1999)

อ้างอิง  
    ศุกลดี ช้อยชาญชัยกุล,พรทิพย์ มาลาธรรม และสุภาณี กาญจนจาร.(2551).การใช้ยาวาร์ฟารินในผู้สูงอายุ: กรณีศึกษาและการดูแล.[ออนไลน์].สืบค้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 จาก https://med.mahidol.ac.th/nursing/jns/DocumentLink/2551/issue_03/07.pdf

ความคิดเห็น